หมวดหมู่: บริษัทจดทะเบียน

FITCH12 7


ฟิทช์ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกันของ บมจ. บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ ที่ A(tha)

      ฟิทช์ เรทติ้งส์ - กรุงเทพฯ - 4 ธันวาคม 2562: บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ ของบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS ที่ ‘A(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นของบริษัทฯ ที่ ‘F1(tha)’  ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวที่ ‘A(tha)’ ให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกันจำนวนไม่เกิน 1 พันล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนไม่เกินปี 2573 ซึ่งกำลังจะออกเสนอขายโดย BAFS 

     อันดับเครดิตของ BAFS สะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทฯ ในตลาดให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานในประเทศไทย รวมถึงอัตราส่วนหนี้สินที่สูงขึ้นและอัตราการเติบโตที่ช้าลงของปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานของบริษัทฯ

        อันดับเครดิตของหนี้ที่ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกันของ BAFS อยู่ในระดับเดียวกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัทฯ เนื่องจากฟิทช์คาดว่าอัตราการได้รับชำระหนี้คืนของหนี้ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีประกันของ BAFS อยู่ในระดับเฉลี่ย ฟิทช์คาดว่า อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับสิทธิสูงกว่าต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ BAFS จะลดลงมาอยู่นะดับต่ำกว่า 2.5 เท่าในปี 2565  อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของหนี้ที่มีหลักประกันซึ่งส่งผลให้สิทธิของหนี้ที่ไม่มีหลักประกันด้อยกว่ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้อันดับเครดิตของหนี้ที่ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกันถูกปรับลดลงได้  BAFS มีแผนในการเสนอขายหุ้นกู้เพื่อการขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียนทั่วไป

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

      อัตราส่วนหนี้สินที่สูงขึ้น: ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS ที่วัดจากหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO –adjusted net leverage)  จะเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.5 เท่า ถึง 4.5 เท่า ในช่วงปี 2562-2563 (สิ้นปี 2561: 2.8 เท่า)  เนื่องจากฟิทช์คาดว่าต้นทุนค่าก่อสร้างสำหรับโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือของประเทศไทยของบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด หรือ FPT ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BAFS น่าจะมีการเพิ่มขึ้นอีก

       และการเปิดดำเนินการของโครงการระยะที่ 2 น่าจะเลื่อนมาเป็นกลางปี 2563 ซึ่งล่าช้ากว่าที่คาดไว้เดิมประมาณ 6 เดือน ส่งผลให้รายได้และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของโครงการเข้ามาช้ากว่าที่คาด โครงการระยะที่ 1 ได้เริ่มเปิดดำเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2562 ฟิทช์คาดว่าหลังจากโครงการของ FPT แล้วเสร็จสมบูรณ์ อัตราส่วนหนี้สินของ BAFS น่าจะเริ่มลดลงในปี 2564 มาอยู่ในระดับ 2.5 เท่าถึง 3.5 เท่า ซึ่งต่ำกว่า 4 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันของบริษัทฯ ทั้งนี้อยู่ภายใต้สมมติฐานว่า BAFS ไม่มีแผนการลงทุนอื่นใดอีก

               BAFS ได้มีการเข้าร่วมประมูลในรูปกิจการร่วมค้า สำหรับโครงการระบบเติมน้ำมันอากาศยานของสนามบินอู่ตะเภาแห่งใหม่ ซึ่งจะเป็นสนามบินหลักในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) บริเวณชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศไทย หากกิจการร่วมค้าของ BAFS ชนะการประมูล ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของ BAFS น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ในระดับใกล้ 4.5 เท่าในช่วงปี 2562-2563 และประมาณ 3.5 เท่าในปี 2564 นอกจากนี้ BAFS ยังมีการศึกษาหาโอกาสทางการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งฟิทช์อาจมีการพิจารณาทบทวนอันดับเครดิตของ BAFS เมื่อมีการลงทุนเกิดขึ้น

               ความเสี่ยงด้านอุปสงค์ของโครงการท่อขนส่งน้ำมัน: โครงการท่อขนส่งน้ำมันของ FPT ซึ่งเป็นท่อขนส่งน้ำมันเส้นแรกในภาคเหนือของประเทศไทย มีความเสี่ยงในการหาลูกค้าเพื่อมาใช้บริการ โครงการระยะที่ 1 ได้เปิดดำเนินการและให้บริการขนส่งน้ำมันส่วนหนึ่งให้แก่บริษัทน้ำมันรายใหญ่ในประเทศไทยเกือบทุกราย แม้ว่าจะยังไม่มีสัญญาระยะยาวในการขนส่งน้ำมัน ฟิทช์เห็นว่าความเสี่ยงในการหาลูกค้ามาทำสัญญาได้รับการบรรเทาลงจากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในบริเวณที่ท่อขนส่งน้ำมันให้บริการที่มีอย่างต่อเนื่อง ค่าบริการที่แข่งขันได้กับการขนส่งด้วยวิธีการอื่น โดยเฉพาะทางรถบรรทุก นอกจากนี้ ฟิทช์เห็นว่าการเปลี่ยนวิธีขนส่งน้ำมันมาใช้ระบบท่อขนส่ง น่าจะมีปัจจัยสนับสนุนจากเหตุผลด้านความปลอดภัย สังคมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

               การเติบโตของปริมาณการเติมน้ำมันที่ช้าลง: ฟิทช์คาดว่าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3.0-3.5 ต่อปีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งต่ำกว่าร้อยละ 4.5 ในปี 2561 อัตราการเติบโตของปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานในปี 2562 น่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ซึ่งต่ำกว่าร้อยละ 4 ที่คาดไว้เดิม  เนื่องจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกและการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท ซึ่งส่งผลให้การเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศลดลง ปัจจัยเหล่านี้น่าจะยังคงส่งผลต่อเนื่องในปี 2563  อัตราการเติบโตของปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานน่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเที่ยวบินระยะไกลที่ให้บริการโดยสายการบินต้นทุนต่ำที่สนามบินดอนเมือง ในขณะที่ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานที่สนามบินสุวรรณภูมิน่าจะค่อนข้างคงที่ในช่วงปี 2562-2563

               สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง: BAFS เป็นผู้ให้บริการคลังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Depot Service) และเครือข่ายท่อจ่ายน้ำมันอากาศยาน (Hydrant Pipeline Network) แต่เพียงรายเดียว และเป็นผู้ให้บริการหลักในการเติมน้ำมันอากาศยาน (โดยมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 88) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงเป็นผู้ให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานแต่เพียงรายเดียว ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง BAFS อยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันน้อยและได้รับประโยชน์จากอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจที่สูงของผู้บริการรายใหม่ เนื่องจากผู้ให้บริการต้องได้รับการอนุญาตจากท่าอากาศยานนั้นๆ จึงจะให้บริการได้  ในขณะที่โครงการท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือของประเทศไทยของ FPT น่าจะช่วยทำให้ BAFS มีการการะจายความเสี่ยงทางธุรกิจที่ดีขึ้นและมีขนาดของธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า

               ความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาน้ำมันที่จำกัด: BAFS ไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน เนื่องจาก BAFS จะเรียกเก็บเฉพาะค่าบริการเติมน้ำมันจากบริษัทน้ำมันเท่านั้น (โดยบริษัทน้ำมันเป็นผู้ขายน้ำมันให้แก่สายการบิน) นอกจากนี้ ต้นทุนหลักของ BAFS  เป็นค่าสัมปทานซึ่งเป็นอัตราที่ตกลงกันก่อนตามสัญญา ทำให้อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรของ BAFS ค่อนข้างคงที่

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

               ลักษณะของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ BAFS มีความคล้ายคลึงกับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A+(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นบริษัทหลักในกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. รายได้ของ GPSC ส่วนใหญ่มาจากสัญญาการขายไฟฟ้าและไอน้ำ กับลูกค้าซึ่งมีสถานะทางธุรกิจและการเงินที่แข็งแกร่ง ดังนั้น ทั้งสองบริษัทจึงมีรายได้ที่สม่ำเสมอและสามารถคาดการณ์ได้ แม้ว่า GPSC จะมีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่า BAFS แต่ก็ชดเชยด้วยสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่าด้วยขนาดของธุรกิจที่ใหญ่กว่า ซึ่งสะท้อนถึงการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินงานที่ดีกว่า

โดยเฉพาะหลังจากการเข้าซื้อกิจการของบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกด (มหาชน) หรือ GLOW ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้า รวมถึงลักษณะรายได้ที่มีสัญญาระยะยาวรองรับ ดังนั้น BAFS จึงมีอันดับเครดิตอยู่ในระดับเดียวกันกับสถานะเครดิตโดยลำพังของ  GPSC ที่ a(tha) โดยอันดับเครดิตของ  GPSC ได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหนึ่งอันดับเพื่อสะท้อนถึงความสัมพันธ์ในระดับปานกลางกับกลุ่ม ปตท.

               เมื่อเปรียบเทียบกับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP ALL (อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ A(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย BAFS มีรายได้ที่สามารถคาดการณ์ได้ในระดับสูงกว่า CP ALL แต่ CP ALL มีสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งมาก ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่นับจากจำนวนร้านค้าที่มากกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่อันดับที่สองเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ CP ALL ยังขายสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งทำให้มีความผันผวนในรายได้และอัตรากำไรที่ต่ำ  CP ALL มีขนาดของธุรกิจและกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ใหญ่กว่า BAFS มาก  CP ALL อยู่ในช่วงลดอัตราส่วนหนี้สิน ซึ่งทำให้มีฐานะทางการเงินอยู่ในระดับใกล้เคียงกับ BAFS ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ดังนั้น ทั้งสองบริษัทจึงมีอันดับเครดิตอยู่ในระดับเดียวกัน

สมมุติฐานที่สำคัญ

สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

               - ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานมีการเติบโตในอัตราประมาณร้อยละ 2.5 ในปี 2562 และร้อยละ 3.0-3.5 ต่อปีในปี 2563-2564

               - โครงการขยายท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือของประเทศไทยระยะที่ 2 แล้วเสร็จและเริ่มสร้างรายได้ใน เดือนกรกฎาคม 2563 โดยรายได้ของ FPT ในปี 2564 ซึ่งเป็นปีแรกที่โครงการท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือของประเทศไทยมีการดำเนินงานเต็มปี อยู่ในระดับ 1.3 พันล้าน-1.4 พันล้านบาท

               - อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและ ค่าเช่าต่อรายได้ (EBITDAR Margin) ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ประมาณร้อยละ 56 ในปี 2562-2563  เนื่องจากเป็นช่วงต้นของการเปิดดำเนินการโครงการท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือ และเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 57-58 ในปี 2564 ซึ่งเป็นปีแรกที่โครงการท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือของประเทศไทยทั้งสองระยะมีการดำเนินงานเต็มปี

               - ค่าใช้จ่ายลงทุนจำนวน 2.6 พันล้าน-2.7 พันล้านบาทในปี 2562 จำนวน 2.1 พันล้าน-2.2 พันล้านบาทในปี 2563 และจำนวน 500 ล้าน-550 ล้านบาทในปี 2564 ซึ่งได้รวมเงินลงทุนในโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมัน และค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับแผนการขยายสนามบินดอนเมือง

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยบวก:

-อัตราส่วนหนี้สินที่วัดจากหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO –adjusted net leverage) ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 2.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง โดยที่ยังคงรักษาสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและโครงการท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือของ FPT มีการดำเนินงานที่มีเสถียรภาพ

ปัจจัยลบ:

               -อัตราส่วนหนี้สินที่วัดจากหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO –adjusted net leverage) เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงกว่า 4.0 เท่าอย่างต่อเนื่อง

               -ความเสี่ยงของโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือของ FPT เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลให้มีต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นอีก การเริ่มเปิดดำเนินการที่ล่าช้ากว่าที่คาดของโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมัน หรือกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของโครงการต่ำกว่าที่คาดเป็นอย่างมาก

               - อันดับเครดิตของหนี้ที่ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกันอาจถูกปรับลดลงจากอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัทฯ หากหนี้ที่มีหลักประกันมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญซึ่งส่งผลให้หนี้ที่ไม่มีหลักประกันมีความด้อยสิทธิกว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สภาพคล่อง

               สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง:  BAFS มีสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากยอดเงินสดคงเหลือที่เพียงพอ และระยะเวลาการชำระหนี้คืนที่มีการกระจายตัวที่ดี  ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562  BAFS มีหนี้สินระยะสั้นที่ไม่มีหลักประกันจำนวน 468 ล้านบาทซึ่งจะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ BAFS มี ยอดเงินสดคงเหลือและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 1.4 พันล้านบาท (ซึ่งไม่รวมเงินฝากธนาคารและพันธบัตรรัฐบาลประมาณ 613 ล้านบาท ซึ่งเป็นหลักประกันของเงินกู้ระยะยาวจากธนาคาร) นอกจากนี้สภาพคล่องของ BAFS ยังได้รับการสนับสนุนจากวงเงินสินเชื่อแบบผูกพันไว้แล้วที่ยังไม่ได้เบิกถอน (Undrawn Committed Facility) จำนวน 1.3 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 รวมถึงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง

               การเพิ่มขึ้นของหนี้ที่มีหลักประกัน: หนี้ที่มีหลักประกันของกลุ่ม BAFS เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมันของ  FPT ซึ่งใช้แหล่งเงินทุนจากเงินกู้ยืมในลักษณะ Project Finance โดยอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับสิทธิสูงกว่าต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) น่าจะเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 2.5 เท่า ถึง 3.5 เท่า ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งสูงกว่าระดับ 2 เท่า ถึง 2.5 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ฟิทช์อาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิตของหนี้ไม่มีหลักประกันลงจากอันดับเครดิตของบริษัทฯ เนื่องจากสิทธิของเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันด้อยกว่าเจ้าหนี้ที่มีหลักประกันหรือมีลำดับสิทธิที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 2.5 เท่า)  อย่างไรก็ตาม มากกว่าร้อยละ 98 ของหนี้ที่มีหลักประกันเป็นหนี้สินที่ก่อโดย FPT ซึ่งน่าจะมีส่วนสร้างกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) น้อยกว่าร้อยละ 25 ของ EBITDA รวมของกลุ่มบริษัทฯ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับสิทธิสูงกว่าต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) น่าจะลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 2.5 เท่าในปี 2565

Fitch Affirms Bangkok Aviation Fuel Services' 'A(tha)' Rating, Rates Debentures

Fitch Ratings - Bangkok - 04 December 2019:

            Fitch Ratings has affirmed Bangkok Aviation Fuel Services Public Company Limited's (BAFS) National Long-Term Rating at 'A(tha)' with a Stable Outlook. Fitch Ratings (Thailand) Limited has also assigned BAFS's proposed senior unsecured debentures of as much as THB1 billion due up to 2030 a National Long-Term Rating of 'A(tha)'.

               BAFS's rating reflects its dominance in Thailand's aviation fuel-service market, its higher leverage and slower growth in volume.

               The company's senior unsecured debt is rated at the same level as its National Long-Term Rating due to Fitch's expectation of average recovery for the debt. We expect BAFS's prior-ranking debt to EBITDA to drop to below 2.5x in 2022. However, any material rise in secured debt leading to an increase in subordination of the senior unsecured debt on a sustained basis may cause the rating of the senior unsecured debt to be notched down. BAFS plans to issue the debentures to fund its expansion plan and general working-capital requirements.

KEY RATING DRIVERS

               Rising Financial Leverage: Fitch expects BAFS's funds from operations (FFO) adjusted net leverage to rise and remain between 3.5x and 4.5x in 2019-2020 (2018: 2.8x) as we forecast further cost over-runs in the northern pipeline project of Fuel Pipeline Transportation Limited (FPT), BAFS's subsidiary. The opening of the second phase is likely to be delayed by six months to mid-2020, postponing the project's revenue and cash flows, after the first phase started operations in June 2019. We expect BAFS's financial leverage to improve from 2021 to 2.5x-3.5x, below Fitch's negative rating sensitivity of 4x, after completion of the FPT project, assuming no other committed investment plans.

               BAFS is bidding with a joint-venture partner to operate the aviation- fuelling system in the new U-Tapao Airport, which will be the main airport in the Eastern Economic Corridor. If it wins the contract, we estimate BAFS's financial leverage will be marginally higher and closer to 4.5x in 2019-2020 and about 3.5x in 2021. BAFS is also exploring investment opportunities outside Thailand, and we will treat any investments as an event risk.

               Demand Risk for New Pipeline: FPT's new pipeline, the first in northern Thailand, carries offtake risk. The first phase serves part of the fuel transportation needs of most major oil companies in Thailand, but no offtake agreement has been signed yet. Fitch believes the offtake risk will be mitigated by the existing oil demand in the area served and the competitive cost of transport via pipelines compared with other modes, primarily trucks. The switch to pipelines is also likely to be supported by safety, social and environmental considerations.

               Slower Volume Growth: Fitch expects BAFS's uplift volume, or the amount of fuel supplied to aircraft, to increase by 3.0%-3.5% a year over the medium term, slower than the 4.5% gain in 2018. The uplift volume growth in 2019 is likely to be about 2.5%, lower than the 4% we previously expected, because of the global economic slowdown and the appreciation of the Thai baht, which has deterred some tourists. These factors are likely to continue in 2020. Uplift volume growth should be supported mainly by additional long-haul flights by low-cost carriers at Don Muang Airport (DMK) while the uplift volume at Suvarnabhumi Airport (SA) is likely to be relatively flat in 2019-2020.

               Strong Business Profile: BAFS is the sole operator of Thailand's fuel depot and hydrant network, and the major into-plane fuelling-service provider with an 88% market share at SA, the country's largest international airport. It is also the sole operator for refuelling services at DMK. The company faces limited competition and benefits from high barriers to entry as concessions from the airport operator are required to provide aviation-fuel services at airports. FPT's northern pipeline project should provide BAFS with business diversification and increase its operating scale over the next four to five years.

               Limited Exposure to Oil Prices: BAFS is insulated from the volatility of fuel prices as its revenue is derived solely from fuelling-service fees, while fuel is sold by oil companies to airlines. BAFS's major cost is its pre-agreed concession fee, which means that profitability is stable.

DERIVATION SUMMARY

               BAFS's operating cash flow profile is close to that of Global Power Synergy Public Company Limited (GPSC, A+(tha)/Stable), the flagship power company of PTT Public Company Limited (AAA(tha)/Stable). GPSC's revenue is derived from contracted power and steam sales to customers with strong credit profiles. Both companies, therefore, have highly predictable and stable earnings. GPSC's higher financial leverage than BAFS is counteracted by its relatively stronger business profile with larger scale, which reflects its more diversified operations, especially after the acquisition of power producer GLOW Energy Public Company Limited, and the contractual nature of its revenue. BAFS is therefore rated at the same level as GPSC's Standalone Credit Profile of 'a(tha)'. GPSC's rating incorporates a one-notch uplift to reflect its moderate linkage with PTT.

               CP ALL Public Company Limited (A(tha)/Stable), the largest convenience-store chain in Thailand, does not have earnings that are as highly predictable as that of BAFS. However, CP ALL has a very strong competitive position, with a market share that is significantly larger than that of its closest rival. Moreover, CP ALL sells daily essential goods, leading to stable revenue and margins. CP ALL has a significantly larger operating scale and EBITDA than BAFS. CP ALL is also deleveraging, which will result in a financial profile that we expect will be similar to BAFS's over the medium term, which explains their same rating level.

KEY ASSUMPTIONS

            Fitch's Key Assumptions Within Our Rating Case for the Issuer

               - Uplift volume growth of about 2.5% in 2019 and 3.0%-3.5% a year in 2020-2021;

               - The second phase of oil pipeline project in northern Thailand to be completed and start generating revenue in July 2020 with revenue of THB1.3 billion-1.4 billion in the first full-year of operations in 2021;

               - A slight decrease in EBITDAR margin to about 56% in 2019-2020 due to the early stage of operating the new pipeline and an increase in the EBITDAR margin to 57%-58% in 2021, the first full year of operations of both phases of the new pipeline;

               - Capex of about THB2.6 billion-2.7 billion in 2019, about THB2.1 billion-2.2 billion in 2020, and THB500 million-550 million in 2021, including investments in the oil-pipeline project and to step up operations as DMK expands.

RATING SENSITIVITIES

               Developments That May, Individually or Collectively, Lead to Positive Rating Action

               - A decrease in FFO adjusted net leverage to below 2.5x for a sustained period while maintaining a strong business profile and achieving stability in FPT's northern pipeline project

               Developments That May, Individually or Collectively, Lead to Negative Rating Action

               - An increase in FFO adjusted net leverage to above 4.0x for a sustained period;

               - Significant increase in the risks in FPT's northern pipeline project, resulting in further cost overruns; a delay in commencement of the operation; or significantly lower-than-expected cash flow from operations;

               - Senior unsecured rating could be notched down from the company's National Long-Term Rating if there is a material rise in secured debt, leading to a significant increase in subordination of senior unsecured debt on a sustained basis.

LIQUIDITY AND DEBT STRUCTURE

               Strong Liquidity: BAFS's liquidity is healthy, supported by an adequate cash balance and a well-structured debt-maturity profile. At end-September 2019, BAFS had unsecured short-term interest-bearing debt of THB468 million due over the next 12 months while its readily available cash balance and Fitch's defined liquid investments were THB1.4 billion, excluding THB613 million in bank deposits and government bonds, which are cash collateral for a secured long-term loan. BAFS's liquidity is also supported by an undrawn committed facility of THB1.3 billion and strong cash-flow generation.

               Increasing Secured Debt: BAFS's secured debt is rising as FPT's pipeline project is funded by project-finance loans. The prior-ranking debt to EBITDA is likely to increase to 2.5x-3.5x over the medium term, which is above the 2.0x-2.5x the general threshold beyond which Fitch may notch unsecured debt for material subordination (9M19: 2.5x). However, more than 98% of secured debt is at FPT, which should contribute less than 25% of total EBITDA over the next two to three years. We expect BAFS's prior-ranking debt to EBITDA to drop to below 2.5x in 2022.

               Additional information is available on www.fitchratings.com

FITCH RATINGS ANALYSTS

Primary Rating Analyst

Somruedee Chaiworarat

Director

+66 2 108 0160

Fitch Ratings (Thailand) Limited

Park Ventures, Level 17 57 Wireless Road, Lumpini

Bangkok 10330

Secondary Rating Analyst

Obboon Thirachit

Director

+66 2 108 0159

Committee Chairperson

Muralidharan Ramakrishnan

Senior Director

+65 6796 7236

APPLICABLE CRITERIA

National Scale Ratings Criteria (pub. 18 Jul 2018)

Corporate Rating Criteria (pub. 19 Feb 2019)

Short-Term Ratings Criteria (pub. 02 May 2019)

Corporates Notching and Recovery Ratings Criteria (pub. 14 Oct 2019)

******************************************

โลโก้เส้นพูดเบาและรวดเร็วไลค์ 1 แชร์ 3ถูกใจ 1 คนแชร์ 1กด  L Ike - แบ่งปัน  เพจเวลา Corehoon-Powerเพื่อติดตามเคล็ดลับข่าวสารเทรนด์และ บทวิเคราะห์ดีๆอัพเดตทุกวันคัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ  

 คลิกบริจาคเว็บสนับสนุน

ais 790x90GC 790x90

sme 720x90banpu 720x90 new1 1

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!